โรคผิวหนังกับการรักษาด้วยการฉายแสงอาทิตย์เทียม

เราคงเคยได้ยินข้อเสียของแสงแดด แสงอาทิตย์กันมาบ้าง
เช่น ทำให้เกิดฝ้า รอยจุดด่างดำ หรือทำให้แก่ลงได้

แต่จริงๆแล้ว แสงแดดก็มีประโยชน์ข้อดีอื่นๆ อีก เช่น ช่วยให้ร่างกายผลิตวิตามินดีตามธรรมชาติได้ และก็นำมาใช้รักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้ด้วย

การรักษาโรคผิวหนัง โดยการฉายแสงอาทิตย์เทียม (#Phototherapy)
หรือ แสงอัลตราไวโอเลต (ultraviolet light) หรือ #แสงยูวี (#UV) ซึ่งพบได้ในแสงอาทิตย์ ที่มีอยู่ทั่วไปในธรรมชาตินี่เอง แต่ได้มีการนำมาทำให้มีความเข้มแสงตามที่กำหนดได้ ทำให้บางครั้งเราเรียกแสงที่ใช้รักษาโรคผิวหนังว่าเป็น “แสงอาทิตย์เทียม”

โดยแสงที่นำมาใช้นี้ คือ ช่วงหนึ่งของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic wave) ที่มีความยาวคลื่นระหว่าง 200-400 นาโนเมตร ซึ่งความยาวคลื่นจะสั้นกว่าช่วงแสงที่มองเห็นด้วยตา (visible light) หรือ กลุ่มแสงรุ้ง

แสงอัลตราไวโอเลต แบ่งออกเป็น

  • แสงอัลตราไวโอเลตเอ (UVA) มีความยาวคลื่น 320 -400 นาโนเมตร
  • แสงอัลตราไวโอเลตบี (UVB) มีความยาวคลื่น 280-320 นาโนเมตร
  • แสงอัลตราไวโอเลตซี (UVC) มีความยาวคลื่น 200-280 นาโนเมตร
    แต่ละชนิดก็จะมีคุณสมบัติและประโยชน์ที่แตกต่างกัน

ในทางการแพทย์ จะใช้แสงอัลตราไวโอเลตเอ (UVA) และอัลตราไวโอเลตบี (UVB) ในการรักษาโรคทางผิวหนัง

ส่วนแสงอัลตราไวโอเลตซี (UVC) จะมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค
ซึ่งมักใช้ในการฆ่าเชื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือใช้ในอุตสาหกรรมอาหารได้

เนื่องจากแสงอัลตราไวโอเลตนี้ มีความสามารถในการทะลุทะลวงผิวหนังไปได้ถึงชั้น หนังกำพร้า (epidermis) และชั้น หนังแท้ (dermis) ขึ้นอยู่กับชนิดของแสง ดังนั้นจึงสามารถใช้ รักษาโรคผิวหนัง ได้หลายโรค เช่น โรคสะเก็ดเงิน
โรคด่างขาว โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ และอื่นๆอีกมากมาย

นอกจากนี้แสงอัลตราไวโอเลตยังสามารถใช้รักษา โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวของผิวหนัง( #CTCL หรือ cutaneous T-cell lymphoma) ชนิด #mycosis_fungoides ได้ด้วย

รศ. พญ. เปรมจิต จันทองจีน

#โรคผิวหนัง #แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง #dermatologist #valorclinic #เวเลอร์คลินิก