ผิวหนังในโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)

ผิวหนังในโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease): อาการ การดูแล และวิธีรักษาอย่างครบวงจร

โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมของระบบประสาท โดยพบได้ประมาณ 1-2% ของประชากรโลก ซึ่งมักมีอาการเด่นชัดคือความผิดปกติในการเคลื่อนไหว เช่น มือสั่น (Tremor) การเคลื่อนไหวช้ากว่าปกติ (Bradykinesia) และการเดินที่ไม่มั่นคง (Postural instability) นอกจากนี้ผู้ป่วยพาร์กินสันยังพบอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ความสามารถในการคิดลดลง (Cognitive decline) อาการซึมเศร้า (Depression) ท้องผูก (Constipation) และน้ำลายมากผิดปกติ (Sialorrhea)

นอกจากอาการทางระบบประสาทที่กล่าวมาแล้วนั้น โรคพาร์กินสันยังมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาผิวหนังที่พบได้บ่อยในผู้ป่วย โดยเฉพาะปัญหาผื่นผิวหนังอักเสบชนิดต่างๆ และยังมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเกิดมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมาอีกด้วย

ผื่นผิวหนังที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน

  1. เซ็บเดิร์ม (Seborrheic dermatitis)

เซ็บเดิร์ม หรือผื่นผิวหนังอักเสบเซ็บเดิร์ม เป็นผื่นอักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยพาร์กินสัน อาการที่สังเกตได้คือมีผื่นแดงที่มีลักษณะแห้ง ขุยสีเหลืองๆ เกิดขึ้นตามบริเวณหัวคิ้ว ข้างจมูก แนวไรผม รวมไปถึงหนังศีรษะที่มักจะมีรังแคร่วมด้วย ในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน อาการนี้จะมีความรุนแรงและรักษายากกว่าคนปกติทั่วไปมาก เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับระบบประสาทที่เสื่อมลง

  1. มะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (Malignant melanoma)

ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมาสูงกว่าคนทั่วไปถึงสองเท่า โดยมะเร็งชนิดนี้มักเริ่มจากตุ่มหรือไฝที่มีลักษณะผิดปกติ เช่น รูปร่างไม่สมมาตร ขอบไฝไม่ชัดเจน สีไม่สม่ำเสมอ มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงขนาด รูปร่างของไฝ ซึ่งผู้ป่วยและผู้ดูแลควรหมั่นสังเกตและตรวจสอบผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ

  1. เหงื่อออกผิดปกติ (Hyperhidrosis หรือ Hypohidrosis)

ในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน อาจพบว่ามีการผลิตเหงื่อที่ผิดปกติได้ทั้งแบบที่มากกว่าปกติ (Hyperhidrosis) หรือแบบที่น้อยกว่าปกติ (Hypohidrosis) เนื่องจากระบบประสาทที่ควบคุมต่อมเหงื่อเกิดความผิดปกติไปตามความเสื่อมของโรค จึงส่งผลกระทบต่อการทำงานของต่อมเหงื่อ

  1. ตุ่มน้ำพอง (Bullous pemphigoid)

ตุ่มน้ำพองเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน โดยมีอัตราการเกิดสูงกว่าคนทั่วไปถึงสามเท่า อาการที่พบคือมีตุ่มน้ำขนาดใหญ่ ผิวหนังพอง และอาจมีอาการคัน โดยเฉพาะบริเวณซอกพับต่างๆ ของร่างกาย เช่น รักแร้ ขาหนีบ หรือลำตัว เป็นต้น บางรายอาจมีผื่นแดงคล้ายลมพิษร่วมด้วย

  1. ผื่นผิวหนังอักเสบรอบปาก (Perioral dermatitis)

ผู้ป่วยพาร์กินสันบางรายอาจพบผื่นแดงที่มีลักษณะเป็นขุยบริเวณรอบริมฝีปาก เชื่อกันว่าอาการนี้เกี่ยวข้องกับภาวะน้ำลายที่มากกว่าปกติ และการกลืนน้ำลายที่ลำบาก ซึ่งส่งผลให้น้ำลายระคายเคืองผิวหนังบริเวณริมฝีปากเกิดเป็นผื่นผิวหนังอักเสบขึ้น

การดูแลและการรักษาผิวหนังในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน

การดูแลรักษาผิวหนังในผู้ป่วยโรคพาร์กินสันจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากแพทย์หลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นแพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนัง (Dermatologist) แพทย์ระบบประสาท (Neurologist) และแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู (Rehabilitation medicine) เพื่อให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างครบวงจร ครอบคลุมทุกแง่มุมของโรค

ผู้ป่วยควรมีการดูแลผิวหนังอย่างต่อเนื่อง เช่น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม เลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง การรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ และควรเข้ารับการตรวจสุขภาพผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดโอกาสการเกิดโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น มะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา เป็นต้น

สรุป

โรคพาร์กินสันไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่การเคลื่อนไหวหรือระบบประสาทเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพผิวหนังของผู้ป่วยด้วย การดูแลรักษาและการป้องกันอย่างถูกต้องจะช่วยลดความรุนแรงของอาการผื่นผิวหนังต่างๆ และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รศ.พญ.เปรมจิต จันทองจีน

=================

สอบถามรายละเอียดหรือนัดหมายแพทย์

Line: @Valorclinic หรือ https://lin.ee/Yiu5pLy

โทรศัพท์ 02-287-4924

วันและเวลาทำการ: (จันทร์-ศุกร์ 9-17 น., เสาร์ 9-12 น.)

แผนที่ https://maps.app.goo.gl/NEcHNPbuAZNfUVrc7

=================

#อาจารย์แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง #สะเก็ดเงินรักษาได้ #สะเก็ดเงิน #โรคผิวหนัง #เวเลอร์คลินิก #valorclinic #แพทย์หญิงเปรมจิต #แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง #พาร์กินสัน #เซ็บเดิร์ม #ตุ่มน้ำพอง #มะเร็งผิวหนัง