ผิวหนัง…สัญญาณเตือนโรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน: โรคใกล้ตัวที่หลายคนไม่รู้ว่ามีอยู่

โรค เบาหวาน (Diabetes Mellitus) เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งร่างกายไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือมีการสร้างอินซูลินไม่เพียงพอ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป ส่งผลกระทบต่อหลอดเลือด ตา ไต เส้นประสาท และแม้แต่ “ผิวหนัง” ของเรา

จากข้อมูลทางการแพทย์ทั่วโลกพบว่า

  • ประมาณ 1 ใน 10 ของประชากรเป็นโรคเบาหวาน
  • และที่น่าตกใจคือ ครึ่งหนึ่งของคนที่เป็นเบาหวานไม่รู้ตัวว่าป่วย

การตรวจเลือดคือวิธีเดียวที่สามารถ “ยืนยันการวินิจฉัยโรคเบาหวานได้แน่นอน” แต่ในหลายกรณี ร่างกายของเรามักส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าผ่าน “ผิวหนัง” ซึ่งเป็นอวัยวะที่เราเห็นได้ชัดเจนที่สุดทุกวัน

ผิวหนังกับโรคเบาหวาน: เชื่อมโยงกันมากกว่าที่คิด

ผิวหนังถือเป็น “หน้าต่างของสุขภาพภายในร่างกาย” ความผิดปกติของระบบเมตาบอลิซึมหรือระดับน้ำตาลในเลือดสูงอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดเล็ก ๆ และระบบประสาทใต้ผิวหนัง ส่งผลให้เกิดผื่นหรือรอยโรคที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ผู้ป่วยโรคเบาหวานกว่า 30–50% มักมีอาการทางผิวหนังร่วมด้วยในช่วงใดช่วงหนึ่งของโรค ซึ่งอาจเกิดขึ้นก่อนหรือหลังการวินิจฉัยก็ได้ ดังนั้น “ผิวหนังที่เปลี่ยนแปลง” จึงเป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

5 สัญญาณทางผิวหนังที่อาจบ่งบอกถึงโรคเบาหวาน

1️ Acanthosis Nigricans – ปื้นคล้ำตามซอกคอและรักแร้

ลักษณะ: ปื้นสีน้ำตาลเข้มหรือเทา ผิวสัมผัสสากเล็กน้อย คล้ายหนังกำมะหยี่ มักพบที่ “หลังคอ”, “รักแร้”, หรือ “ข้อพับ”
ความหมาย: บ่งชี้ถึงภาวะ มีอินซูลินในร่างกายสูงกว่าปกติ หรือ ภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin resistance) ซึ่งพบได้ในคนอ้วน, ภาวะก่อนเบาหวาน (prediabetes) และเบาหวานชนิดที่ 2
การรักษา: ลดน้ำหนัก, ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และใช้ยาทาผิวที่ช่วยลดความหนาหรือความคล้ำได้บางส่วน

2️ Necrobiosis Lipoidica – ปื้นเหลืองบางใสบริเวณหน้าแข้ง

ลักษณะ: ปื้นแบน สีเหลืองอมชมพู มันวาว บางครั้งเห็นเส้นเลือดเล็ก ๆ บนผิวได้ชัดเจน
ความหมาย: มักพบในผู้ป่วยเบาหวาน โดยเฉพาะผู้หญิงวัยกลางคน เกิดจากการอักเสบของหลอดเลือดและการสะสมของไขมันใต้ผิวหนัง
อาการร่วม: อาจคันหรือเจ็บเมื่อสัมผัส
การดูแล: หลีกเลี่ยงการเกา, รักษาความสะอาด, และพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการประเมินร่วมกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

3️ Diabetic Dermopathy (Shin Spots) – จุดสีน้ำตาลที่หน้าแข้ง

ลักษณะ: จุดกลมหรือรี ขนาด 0.5–1 ซม. สีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม พบที่หน้าแข้งทั้งสองข้าง
ความหมาย: เป็นรอยที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดเล็กใต้ผิวหนัง มักพบในผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นมานาน
อาการ: ไม่คัน ไม่เจ็บ และไม่มีอันตรายโดยตรง แต่เป็น “สัญญาณเตือน” ให้ควบคุมระดับน้ำตาลอย่างจริงจัง
การดูแล: ไม่จำเป็นต้องรักษาเฉพาะจุด แต่ควรเน้นการควบคุมเบาหวานและตรวจร่างกายเป็นประจำ

4️ Digital Sclerosis – ผิวหนังตึง แข็ง และเงา

ลักษณะ: ผิวหนังที่นิ้วมือแข็ง ตึง และเป็นมันเงา รู้สึกเหมือนกำมือได้ไม่สุด
ความหมาย: เกิดจากการสะสมของคอลลาเจนและการเปลี่ยนแปลงในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
ผลกระทบ: อาจทำให้การเคลื่อนไหวนิ้วมือและข้อมือลำบาก หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา
การดูแล: ควบคุมระดับน้ำตาล รักษาความชุ่มชื้นของผิว และบริหารมือเป็นประจำ

5️ Eruptive Xanthoma – ตุ่มสีเหลืองกระจายตามข้อศอก เข่า หรือก้น

ลักษณะ: ตุ่มนูนเล็ก ๆ สีเหลืองหรือส้ม กระจายตามลำตัว แขน ขา โดยเฉพาะข้อศอก เข่า และก้น
ความหมาย: มักพบในผู้ป่วยที่มี ไขมันในเลือดสูงมาก และ โรคเบาหวาน
การดูแล: ต้องพบแพทย์เพื่อตรวจระดับไขมันและน้ำตาล พร้อมปรับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะอาจสัมพันธ์กับความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

ทำไมผิวหนังจึงเปลี่ยนเมื่อเป็นเบาหวาน?

โรคเบาหวานทำให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลสูงในเลือดและเนื้อเยื่อ ส่งผลให้

  • หลอดเลือดขนาดเล็ก (microvascular) ถูกทำลาย
  • ระบบประสาทใต้ผิวหนังเสื่อมลง
  • ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นและการไหลเวียนของเลือดลดลง
  • ร่างกายมีความสามารถในการซ่อมแซมแผลลดลง

สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีแนวโน้มที่จะเกิด

  • ผิวแห้ง คัน
  • แผลเรื้อรังหายช้า
  • การติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราบ่อย
    จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ป่วยจะต้องดูแลผิวอย่างถูกวิธี และเข้าพบแพทย์เมื่อพบความผิดปกติ

เมื่อไหร่ควรมาพบแพทย์เฉพาะทางผิวหนัง?

ควรมาพบแพทย์เมื่อมีอาการต่อไปนี้
✅ ผิวคล้ำขึ้นผิดปกติบริเวณคอ รักแร้ หรือข้อพับ
✅ มีผื่นหรือปื้นเหลืองที่หน้าแข้ง
✅ มีจุดสีน้ำตาลขึ้นมากที่ขาโดยไม่ทราบสาเหตุ
✅ ผิวตึง แข็ง กำมือไม่ถนัด
✅ มีตุ่มสีเหลืองหรือผื่นกระจายทั่วตัว
✅ ผิวแห้ง คัน มีแผลหายช้า

แพทย์เฉพาะทางผิวหนังจะช่วยตรวจประเมินว่าผื่นนั้นเกิดจากโรคผิวหนังทั่วไปหรือเป็น “สัญญาณเตือนของโรคเบาหวาน” พร้อมให้คำแนะนำเรื่องการตรวจเลือดและแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุด

การป้องกันและดูแลผิวสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นเบาหวาน

  1. 🩸 ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ
  2. 🍎 รับประทานอาหารที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงของหวานและไขมันสูง
  3. 🚶‍♀️ ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อปรับความไวของอินซูลิน
  4. 💧 รักษาความชุ่มชื้นของผิว ใช้โลชั่นหลังอาบน้ำทุกวัน
  5. 🦶 ตรวจเท้าและผิวหนังเป็นประจำ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีเบาหวานนานหลายปี
  6. 🩺 ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนังเมื่อพบความผิดปกติของผิว

สรุป: ผิวหนังอาจเป็นสัญญาณแรกที่บอกว่า “มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่างกาย”

โรคเบาหวานเป็นโรคที่สามารถควบคุมได้ หากตรวจพบเร็วและรักษาอย่างต่อเนื่อง
อย่ามองข้าม “สัญญาณจากผิวหนัง” เพราะบางครั้งมันคือเสียงเตือนเงียบ ๆ จากภายในร่างกาย

หากคุณสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง ควรเข้าพบ แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง เพื่อรับการวินิจฉัยและคำแนะนำในการดูแลอย่างถูกต้อง

สุขภาพผิวดี เริ่มต้นจากการดูแลอย่างเข้าใจ💚

Healthy skin begins with truly understanding👩🏻‍⚕️
รศ.พญ.เปรมจิต จันทองจีน
แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง

#เวเลอร์คลินิก #valorclinic

#โรคสะเก็ดเงิน #คลินิกโรคผิวหนัง #หมอผิวหนัง

#คลินิกรักษาสะเก็ดเงินสาทร #เบาหวาน #โรคเบาหวาน

===========================

📞 โทร. 02-287-4924  

📱 Line: @Valorclinic หรือคลิก https://lin.ee/WiY4qon   

🚗เวเลอร์คลินิก สาทร https://maps.app.goo.gl/NEcHNPbuAZNfUVrc7

===========================