
หลายคนอาจไม่รู้ว่า “โรคสะเก็ดเงิน” และ “การติดเชื้อ HIV” มีความเกี่ยวข้องกันในเรื่องของ ภูมิคุ้มกันของร่างกาย แม้ทั้งสองโรคจะต่างกัน แต่ผู้ติดเชื้อ HIV บางรายอาจมีอาการสะเก็ดเงินที่รุนแรงหรือควบคุมยากกว่าเดิมได้ ทำให้เกิดคำถามมากมาย เช่น
- ผู้ติดเชื้อ HIV จะมีโอกาสเป็นสะเก็ดเงินมากขึ้นไหม?
- ทำไมบางคนที่มี HIV อาการสะเก็ดเงินถึงหนักขึ้น?
- ยาที่ใช้รักษาเหมือนกับคนทั่วไปหรือไม่?
- ถ้าควบคุม HIV ดีขึ้น ผื่นจะดีขึ้นด้วยหรือไม่?
⭐ 1) ผู้ติดเชื้อ HIV ไม่ได้มีโอกาสเป็นสะเก็ดเงินมากกว่าคนทั่วไป
ข้อเท็จจริงสำคัญคือ HIV ไม่ได้ทำให้เกิดโรคสะเก็ดเงินเพิ่มขึ้น
มีงานวิจัยที่รวบรวมข้อมูลผู้ติดเชื้อ HIV มากกว่า 130,000 คน พบว่า
- ผู้ติดเชื้อ HIV เป็นสะเก็ดเงินเพียง 2%
ขณะที่ - ประชากรทั่วไปเป็นสะเก็ดเงินประมาณ 3%
แปลว่า “HIV ไม่ได้ทำให้เป็นสะเก็ดเงินมากขึ้น” แต่ถ้ามีโรคนี้อยู่แล้ว อาการอาจแตกต่างและรุนแรงขึ้นได้
⭐ 2) ทำไมสะเก็ดเงินในผู้ติดเชื้อ HIV มักรุนแรงกว่าคนทั่วไป?
โรคสะเก็ดเงินเกิดจาก “ภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ” และ HIV ก็เป็นโรคที่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันโดยตรง ทำให้สองโรคนี้มีปฏิกิริยาต่อกันได้
ในผู้ติดเชื้อ HIV เกิดอะไรขึ้น?
- เม็ดเลือดขาว CD4 ซึ่งช่วยควบคุมภูมิคุ้มกันลดลง
- ระบบภูมิคุ้มกันเสียสมดุล
- ร่างกายสร้าง “สารก่อการอักเสบ” มากขึ้น
- ทำให้ผื่นสะเก็ดเงินลุกลามง่ายกว่าเดิม
ผลลัพธ์คือ
✔ ผื่นขึ้นมากกว่า
✔ ผื่นหนากว่า
✔ กระจายเร็วกว่า
✔ อาจมีอาการคันหรือปวด
✔ บางรายมีตุ่มหนองร่วมด้วย
ดังนั้น หากผู้ติดเชื้อ HIV มีผื่นสะเก็ดเงิน ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อประเมินความรุนแรงและเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสม
⭐ 3) ผื่นสะเก็ดเงินในผู้ติดเชื้อ HIV อาจไม่เหมือนแบบที่เคยเห็น
ในคนทั่วไป เราจะคุ้นเคยกับสะเก็ดเงินแบบคราบแดงหนา มีสะเก็ดสีเงินบริเวณศอก เข่า หนังศีรษะ แต่ในผู้ติดเชื้อ HIV อาการอาจแตกต่างออกไป เช่น
รูปแบบที่พบได้บ่อย
- ผื่นเป็น ตุ่มหนอง
- ผื่นแดงหนา ลามเร็ว
- ผื่นบริเวณใบหน้าและหนังศีรษะอย่างรุนแรง
- ผื่นกระจายเกือบทั้งตัวในเวลาไม่นาน
ผื่นอาจคล้ายโรคอื่นได้
บางครั้งผื่นที่ดูเหมือนสะเก็ดเงินอาจเป็น
- ผื่นเซ็บเดิร์มที่รุนแรง (severe seborrheic dermatitis)
- การติดเชื้อรา
- ผื่นจากภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติอื่น ๆ
ดังนั้นการวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางผิวหนังจึงสำคัญ เพราะการรักษาขึ้นกับการแยกโรคให้ถูกต้อง
⭐ 4) การรักษา “สะเก็ดเงินในผู้ติดเชื้อ HIV” ต้องเลือกให้เหมาะกับร่างกาย
การรักษาอาจไม่สามารถใช้วิธีเดียวกับผู้ป่วยทั่วไปได้ เพราะต้องคำนึงถึงภูมิคุ้มกันและยาต้านไวรัสที่ใช้อยู่
4.1 วิธีรักษาที่ปลอดภัย
ยาทา
เช่น สเตียรอยด์, ครีมวิตามินดี, ครีมลดการอักเสบ ถือเป็นทางเลือกแรก
การฉายแสงอาทิตย์เทียม โดยเฉพาะแสง UVB (Phototherapy)
เป็นการรักษาที่ปลอดภัยและใช้กันในผู้ป่วยสะเก็ดเงินหลายราย
ข้อดี: ไม่กดภูมิคุ้มกัน
ข้อควรระวัง: ต้องมารพ.บ่อย และบางรายผิวไวต่อแสง
4.2 วิธีรักษาที่ต้องระมัดระวัง
- methotrexate และ cyclosporine อาจทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงกว่าเดิม โดยทั่วไปจึงไม่ค่อยแนะนำให้ใช้
- ยากลุ่มวิตามินเอ (acitretin) อาจเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่าในบางเคส
4.3 ยาฉีดชีวโมเลกุล (Biologics) ใช้ได้หรือไม่?
ในอดีต แนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้ยาฉีดชีวโมเลกุลในผู้ติดเชื้อ HIV แต่ข้อมูลปัจจุบันพบว่า
- หากผู้ป่วย คุม HIV ได้ดี
- มีค่า CD4 อยู่ในระดับปลอดภัย
- และอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด
→ ยาฉีดชีวโมเลกุลสมัยใหม่อาจเป็นทางเลือกได้ในบางราย (ที่มา Systematic review of biologic use for psoriasis in HIV-positive individuals ใน Archives of Dermatological Research 2024) อย่างไรก็ตามต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมต่อไป
⭐ 5) หากควบคุม HIV ได้ดี อาการสะเก็ดเงินก็ดีขึ้นมาก
ผู้ป่วยจำนวนมากสังเกตว่า เมื่อเริ่มยาต้านไวรัสและรักษาอย่างสม่ำเสมอ อาการสะเก็ดเงินดีขึ้นชัดเจน
เหตุผลคือ
- เมื่อ viral load ลดลงมาก
- CD4 เพิ่มขึ้น
- ร่างกายอักเสบน้อยลง
- ผื่นสะเก็ดเงินจึงสงบลงและตอบสนองต่อการรักษาดีขึ้น
คำแนะนำสำคัญคือ
➡️ จำเป็นต้องรับประทานยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดยา
➡️ ติดตามค่าการทำงานของร่างกายตามแพทย์นัด
➡️ พบแพทย์เฉพาะทางผิวหนังเมื่อผื่นผิดปกติหรือควบคุมยาก
⭐ บทสรุป: ผู้ติดเชื้อ HIV สามารถควบคุมสะเก็ดเงินได้ และใช้ชีวิตปกติได้
โรคสะเก็ดเงินในผู้ติดเชื้อ HIV อาจมีความซับซ้อนกว่า แต่ด้วยความทันสมัยของการรักษาปัจจุบัน ผู้ป่วยสามารถควบคุมโรคทั้งสองอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ
✔ ควบคุม HIV ให้ดีด้วยยาต้านไวรัส
✔ พบแพทย์ผิวหนังเมื่อมีผื่นผิดปกติ
✔ เลือกการรักษาที่เหมาะกับภูมิคุ้มกันของตัวเอง
✔ ดูแลร่างกายและใจอย่างสมดุล
#WorldAIDSDay #โรคผิวหนัง #แพทย์ผิวหนัง#แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง #ValorClinic #เวเลอร์คลินิก

